ถ้ามีเงื่อนไขต้องใช้ If clause

หลักการใช้ If clause แบบเข้าใจง่ายๆ

If clause หรือบางคนอาจจะเคยได้ยินในชื่อของ Conditional sentences (Conditional clause) ใครที่ชอบการตั้งเงื่อนไข ต้องทำความรู้จักกับเจ้านี่ไว้เลยนะครับ เพราะเจ้านี้เป็นประโยคที่บอกถึงเงื่อนไขของผู้พูด หรือเหตุการณ์สมมติ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
  • ส่วนของ main clause คือ ส่วนของประโยคหลัก เป็นประโยคที่แสดงผลของเงื่อนไขนั้นๆ
  • ส่วนของ if clause คือ ส่วนของเงื่อนไข หรือส่วนที่เป็นเหตุการณ์สมมติ

If clause สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 แบบ หลักๆ ดังนี้

1. Type I (real conditional)
เป็น ประโยคแสดงเงื่อนไขที่สามารถเป็นความจริง หรือแสดงเงื่อนไขที่เป็นไปได้ ในปัจจุบัน หรืออนาคต
if + present simple, will-future
เช่น       If you read, you will pass the exam.
ถ้าคุณอ่านหนังสือ คุณก็จะสอบผ่าน
If I have time, I will help you.
ถ้าผมมีเวลาพอ ผมจะช่วยคุณเอง
If Bob tidies up the kitchen, Anita will clean the toilet.
ถ้าบ๊อบจัดครัวให้เป็นระเบียบ แอนนิต้าก็จะทำความสะอาดห้องน้ำ
2. Type II (unreal condition – present)
เป็นประโยคแสดงเงื่อนไขที่ไม่สามารถเป็นความจริง หรือเงื่อนไขที่ไม่สามารถเป็นไปได้ (อาจจะใช้เป็นการแนะนำ)
if + simple past, would + infinitive
เช่น If I were rich, my life would change completely.
ถ้าผมรวย ชีวิตของผมจะเป็นไปอย่างสมบูรณ์ (I เป็นประธานเอกพจน์ตัวเดียวที่ต้องใช้ were ในประโยค If clause)
If I were you, I would go to the doctor.
ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะไปหาหมอ (ในความเป็นจริงเราไม่สามารถเป็นคนอื่นได้ ประโยคนี้จึงเหมือนเป็นการแนะนำมากกว่า)
If I owned a lonely island, I would build a huge house by the beach.
ถ้าฉันเป็นเจ้าของเกาะส่วนตัวสักแห่ง ฉันจะสร้างบ้านหลังโตๆใกล้กับชายหาด
3. Type III (unreal condition – past)
เป็นประโยคแสดงเงื่อนไขในอดีต ที่ไม่สามารถเป็นจริงได้เลยในปัจจุบัน และเงื่อนไขนั้นตรงข้ามกันกับความจริงที่เกิดขึ้นในอดีตด้วย
if + past perfect, would have + past participle
เช่น If it had been a home game, our team would have won the match.
ถ้าเราได้แข่งในบ้านของเรา ทีมของพวกเราต้องชนะแน่ๆ (แต่ความเป็นจริงทีมของพวกเราแพ้ไปแล้ว)
They would not have gone to the theater by car if the weather had been better.
พวกเขาจะไม่ขับรถไปโรงละครแน่ๆ หากอากาศดีขึ้นกว่านี้
If John had learned more words, he would have written a good report.
ถ้าจอห์นเรียนรู้คำศัพท์มากกว่านี้ เขาจะเขียนรายงานได้ดีขึ้น (ตอนนี้เขาเขียนรายงานได้ไม่ดี)
อย่างที่ได้บอกในข้างต้นที่ว่า ประโยค If clause ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ ส่วนของ main clause  และส่วนของ if clause โดยทั้งสองส่วนนี้สามารถสลับตำแหน่งกันได้ แต่ถ้าส่วนของ if clause ขึ้นก่อน จะต้องมีเครื่องหมายคอมมา (,) คั่นอยู่ตรงกลาง แต่ถ้าเอาส่วนของ main clause ขึ้นก่อน ก็ไม่ต้องมีเครื่องหมายคอมมา (,) เรื่องของเครื่องหมายคอมมาอาจจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเรื่องของการพูด แต่ถ้าเมื่อไรก็ตามที่เป็นเรื่องของการเขียน เราจะลืมเขียนไม่ได้นะครับ (ตัวตัดคะแนนเลยแหละ)
สำหรับภาษาไทยเราใช้ประโยคเงื่อนไขกันบ่อยๆอยู่แล้ว ดังนั้นต่อจากนี้ไปถ้าเราจะตั้งเงื่อนไขกับใครลองพูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษสิครับ แล้วจะติดใจ
ที่มา : http://www.dailyenglish.in.th/if-clause/

การใช้ some และ any นำหน้าคำนาม


การใช้ Some

1. some + นามพหูพจน์ แปลว่า บาง
Some cats are sleeping.
ซัม แค็ทส สา สลี๊พพิง  แมวบางตัวกำัลังนอน
Some boys are very tall.
ซัม บอยส สา เฝ๊ริ ทอล เด็กชายบางคนตัวสูงมาก
2. some+นามนับไม่ได้
  • ประโยคบอกเล่า แปลว่า บ้าง หรือ นิดหน่อย
I have some money.
อาย แฮฝ ซัม มั๊นนิ ฉันมีเงินอยู่บ้าง
There is some water in the glass.
แด อิส ซัม ว๊อเทอะ อิน เดอะ กลาส มีน้ำในแก้วนิดหน่อย
  • การยื่นข้อเสนอ ส่วนมากเห็นเสนออาหารและเครื่องดื่ม อันนี้ไม่ต้องแปล
Do you want some money?ดู ยู ว็อนท ซัม มั๊นนิ คุณต้องการเงินไหม
Would you like some tea?วุด ยู ไลค ซัม ที๋ คุณจะรับชาไหมครับ
Can I get you some coffee?
แคน ไอ เก็ท ยู ซัม ค๊อฟฟิ ให้ผมซื้อกาแฟให้คุณไหม
  • การขอ (request) ก็เป็นอาหารและเครื่องดื่ม ไม่ก็ขอนั่นขอนี่ อันนี้ก็ไม่ต้องแปล
Can I have some tea?แคน ไอ แฮฝ ซัม ที๊ ขอชาหน่อยได้ไหม
Can you give me some salt?
แคน ยู กิฝ มี ซัม ซอลท คุณเอาเกลือให้ฉันหน่อยได้ไหม
Can I borrow some money, please?
แคน ไอ บ๊อโร ซัม มั๊นนิ พลีส ขอยืมตังค์หน่อยได้ไหม ได้โปรด

การใช้ Any

any+ นามพหูพจน์ / any + นามนับไม่ได้
any ใช้นำหน้าคำนามพหูพจน์ และนามนับไม่ได้เช่นเดียวกันกับ some ซึ่งจะใช้ในประโยคต่อไปนี้
  • ประโยคคำถาม แปลว่า บ้างไหม
Do you have any dogs?
ดู ยู แฮฝ เอ็นนิ ดอกส คุณมีสุนัขบ้างไหม
Are they any dogs in the room?
อาแด เอ็นนิ ดอกส อิน เดอะ รูม มีสุนัขอยู่ในห้องบ้างไหม
Does she have any cars?
ดัส ชี แฮฝ เอ็นนิ คาส หล่อนมีรถยนต์บ้างไหม
Do they have any water?
ดู เด แฮฝ เอ็นนิ ว๊อเทอะ พวกเขามีน้ำบ้างไหม
Is there any milk left?
อิส แด เอ็นนิ มิลค เล็ฟท มีน้ำนมเหลือบ้างไหม
  • ประโยคปฏิเสธ แปลว่า เลย
I don’t have any dogs.
อาย ด้น แฮฝ เอ็นนิ ดอกส ผมไม่มีสุนัขเลย
She doesn’t have any cars.
ชี ดั๊สเซินท แฮฝ เอ็นนิ คาส หล่อนไม่มีรถยนต์เลย
They don’t have any water.
เด ด้น แฮฝ เอ็นนิ ว๊อเทอะ พวกเขาไม่มีน้ำเลย
ที่มา : http://xn--12cl9ca5a0ai1ad0bea0clb11a0e.com/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89-some-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0-any-%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1/

หลักการใช้ Passive Vioce



Active Voice กับ Passive Voice คืออะไร

ได้ยินคำเหล่านี้แล้วอย่าเพิ่งงงนะครับ มันเป็นแค่ชื่อเรียกเท่านั้น จุดมุ่งหมายที่แท้จริงคือการมาเรียนรู้โครงสร้างของประโยค ว่ามันมีความหมายว่าอย่างไร แตกต่างจากโครงสร้างของภาษาเราอย่างไร
สองคำนี้เป็นชื่อเรียกประโยคในภาษาอังกฤษที่มีความแตกต่างกันสองชนิดดังนี้
Active Voice หมายถึงประโยคที่ประธานเป็นผู้กระทำ  (ใคร ทำอะไร) เช่น
Thai people eat rice. คนไทยกินข้าว (ประธานคือ คนไทย)
Passive Voice หมายถึงประโยคที่ประธานเป็นผู้ถูกกระทำ (ใคร ถูกทำ) เช่น
Rice is eaten by Thai people. ข้าวถูกกินโดยคนไทย (ประธานคือ ข้าว)

โครงสร้าง Passive Voice เป็นอย่างไร มีเท่าไหร่

โครงสร้างก็คล้ายกับ Active Voice ( Tense ทั้ง 12 ที่ได้เรียนไปแล้ว ) เพียงแค่มี Verb to be มาคั่น และกริยาหลักคือ ช่อง 3 หมดเลย และมีอยู่ทั้งหมด 12 รูปแบบประโยคเช่นกัน
ถ้าจะพูดให้ฟังใหม่ก็คือว่า Tenseย่อย มี 12 ตัว  แต่ละตัวสามารถแบ่งออกเป็นสองชนิด ดังนี้
Present Tense
  • Present simple tense (Active voice )
  • Present simple tense (Passive voice )
  • Presenst continuous tense (Active voice)
  • Presenst continuous tense (Passive voice)
  • Present perfect tense (Active Voice)
  • Present perfect tense (Passive Voice)
  • Present perfect continuous tense (Active Voice)
  • Present perfect continuous tense (Passive Voice)
ยกตัวอย่างแค่ Present Tense ให้ดูนะครับ นับดูแล้วได้ 8 เพราะมันมีโครงสร้างที่ต่างกัน รวมกับ Past Tense อีก 8 และ Future Tense อีก 8 รวมเป็น 24 โครงสร้าง
ดังนั้น ถ้ามีคนถามเกี่ยวกับเรื่อง Tense ให้อธิบายดังนี้
  • Tense ใหญ่ๆ มี 3 Tense คือ Present Tense / Past Tense  / Future Tense
  • แต่ละ Tense แบ่งย่อยออกเป็น 4 Tense ย่อย คือ Simple / Continuous / Perfect / Perfect Continuous
  • แต่ละ Tense ย่อย แบ่งรูปแบบประโยคออกเป็น 2 ชนิด คือ Active Voice / Passive Voice
  • ดังนั้น ถ้าเราจะเรียนเรื่อง Tense เราต้องเรียนรู้โครงสร้างที่ต่างกัน 24 โครงสร้าง
  • แต่จริงๆแล้ว ไม่ได้นำมาใช้ทั้งหมดหรอก เอามาใช้จริง ไม่ถึงครึ่งเลย คอนเฟิร์ม

 แล้ว Tense 12 ที่เรียนมาแล้วคืออะไร

Tense ทั้ง 12 ที่เรียนไปแล้วเป็นประโยค Active Voice คือ ประธานเป็นคนกระทำทั้งหมด โดยไม่พูดถึง Passive Voice เลย ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ โครงสร้าง Active Voice เสียก่อน ถ้าเข้าใจดีแล้ว การเรียนรู้ Passive Voice ก็จะไม่ยากเท่าไหร่ เพราะต่างกันแค่นิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่ถ้าให้เรียนรู้ควบกับไปเลยทั้งหมด เดี๋ยวจะงงกันเสียเปล่าๆ
เหตุผลที่ให้เรียนโครงสร้าง Active Voice ให้เข้าใจก่อนนั้นก็เพราะว่ามันเป็นหัวใจของภาษาอังกฤษนั้นเอง ถ้าเข้าใจตรงนี้แล้ว ภาษาอังกฤษก็จะเป็นเรื่องง่ายๆทันที เพราะผู้เรียนสามารถอ่านเนื้อหาต่างๆที่เป็นภาษาอังกฤษได้แล้ว อาจติดขัดบ้างที่คำศัพท์ก็สามารถใช้ดิกชันนารีช่วยได้

ตัวอย่างประโยค

Present Tense
Thai people grow rice in rainy season. คนไทยปลูกข้าวในฤดูฝน (ใครปลูกข้าว ก็คนไทยไง)
Rice is grown in rainy season. ข้าวถูกปลูกในฤดูฝน (ใครปลูกไม่สน สนแต่ว่าปลูกเมื่อไหร่)
Rice is grown by Thai people. ข้าวถูกปลูกโดยคนไทย (ปลูกเมื่อไหร่ไม่สน สนแต่ว่าใครปลูก)
That woman is hitting a cat. หญิงคนนั้นกำลังตีแมว (ใครตี ก็ผู้หญิงคนหนึ่งเป็นคนตี)
A cat is being hit. แมวตัวหนึ่งกำลังถูกตี (ไม่ต้องการรู้ว่าใครตี ต้องการรู้แค่ว่าแมวโดนตี)
A cat is being hit by that woman. แมวตัวหนึ่งกำลังถูกตีโดยผู้หญิงคนนั้น (ตัวนี้เป็นประโยคสมบูรณ์ แต่นิยมใช้ด้านบน)
He has built the house for two years. เขาได้สร้างบ้านมาแล้วเป็นเวลาสองปี
The house has been built for two years. บ้านได้ถูกสร้างมาแล้วเป็นเวลาสองปี
Past Tense
We grew rice yesterday. พวกเราปลูกข้าวเมื่อวานนี้
Rice was grown yesterday. ข้าวถูกปลูกเมื่อวานนี้
Future Tense
We will grow rice tomorrow. เราจะปลูกข้าวพรุ่งนี
Rice will be grown tomorrow. ข้าวจะถูกปลูกพรุ่งนี้
ถึงแม้จะมีตั้ง 12 แต่ใช้จริงแค่ 4-5 อันตามตัวอย่างแค่นั้นแหละ เดี่ยวค่อยมาเรียนรู้ทีละอันนะครับ
คราวก่อนได้เกริ่นนำไปแล้วว่า Actiive Voice กับ Passive Voice คืออะไร เนื้อหาในหน้านี้เป็นหน้าหลักสำหรับรวบรวม หลักการใช้ Passive Voice ทั้ง 12 ตัว เพื่อให้ง่ายในการค้นคว้านะครับ
สำหรับคำกริยาที่จะนำมาใช้ในประโยค Passive Voice ต้องเป็นคำกริยาที่มีกรรมเท่านั้น เพราะคำแปลจะต้องมีคำว่า ใครหรืออะไร ถูกทำอะไรเสมอ ส่วนคำว่า by ที่แปลว่าโดย บางครั้งอาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ ขึ้นอยู่กับผู้พูด และบางประโยคไม่ต้องมีเลยก็ได้ เช่น
A fish was eaten. ปลาถูกกินไปแล้ว ประโยคนี้ต้องการสื่อแค่ว่าปลาถูกกิน ส่วนอะไรกินปลานั้นไม่สน
A fish was eaten by a cat. ปลาถูกกินไปแล้วโดยแมวตัวหนึ่ง ประโยคนี้เป็นการสื่อความแบบสมบูรณ์
Mr. Tom was arrested yesterday. นายทอมถูกจับกุมเมื่อวานนี้ ประโยคนี้ไม่ต้องใช้ by เพราะรู้อยู่แล้วว่าคนที่จับกุมคือเจ้าหน้าที่ตำรวจ
My watch was stolen last night. นาฬิกาของฉันถูกโขมยเมื่อคืน ประโยคนี้ก็ไม่ต้องบอกก็ได้ว่าใคร เพราะรู้อยู่แล้วว่าเป็นโจรย่องเบาแน่นอน

Present Tense

  • Present Simple Tense (ใช้บ่อย)
    Rice is eaten by me. ข้าวถูกกินโดยฉัน
  • Present Continuous Tense (ใช้ไม่บ่อยเท่าไหร่หรอก)
    Rice is being eaten by me. ข้าวกำลังถูกกินโดยฉัน
  • Present Perfect Tense (นานๆเห็นที)
    Rice has been eaten by me. ข้าวถูกกินแล้วโดยฉัน
  • Present Perfect Continuous Tense (ไม่ต้องใช้ก็ได้)
    Rice has been being eaten by me. ข้าวกำลังถูกกินแล้วโดยฉัน

Past Tense

  • Past Simple Tense (ใช้บ่อยเหมือนกัน)
    Rice was eaten by me. ข้าวได้ถูกกินโดยฉัน
  • Past Continuous Tense (ไม่ค่อยจะเห็นเลย)
    Rice was being eaten by me. ข้าวได้ถูกกำลังกินโดยฉัน
  • Past Perfect Tense (ไม่ค่อยจะเห็นอีกแหละ)
    Rice had been eaten by me. ข้าวได้ถูกกินแล้วโดยฉัน
  • Past Perfect Continuous Tense (ไม่ต้องใช้ก็ได้)
    Rice had been being eaten by me. ข้าวได้กำลังถูกกินแล้วโดยฉัน

Future Tense

  • Future Simple Tense (ใช้บ่อยเหมือนกัน)
    Rice will be eaten by me. ข้าวจะถูกกินโดยฉัน
  • Future Continuous Tense (ไม่ต้องใช้ก็น่าจะได้)
    Rice will be being eaten by me. ข้าวจะกำลังถูกกินโดยฉัน
  • Future Perfect Tense (ไม่ต้องใช้ก็ได้นะ)
    Rice will have been eaten by me. ข้าวจะถูกกินแล้วโดยฉัน
  • Future Perfect Continuous Tense (ไม่ต้องใช้เลยก็ได้)
    Rice will have been being eaten by me. ข้าวจะกำลังถูกกินแล้วโดยฉัน
แหล่งที่มา : http://xn--12cl9ca5a0ai1ad0bea0clb11a0e.com/active-voice-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A-passive-voice-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%9A/
http://xn--12cl9ca5a0ai1ad0bea0clb11a0e.com/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89-passive-voice-%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87-12-%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7-%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%87/

กริยา3ช่อง Irregular Verb


กริยา 3 ช่อง คือ คำกริยาในภาษาอังกฤษ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ช่อง บ่งบอกถึงเหตุการณ์ในแต่ละช่วงเวลาได้อีกด้วย
คำที่ใช้แสดงถึงอาการ เหตุการณ์ และช่วงเวลา คือ คำพูดที่แสดงการกระทำของ ประธานในประโยค หรือคำที่ทำหน้าที่ช่วยคำกริยา หากประโยคขาดคำกริยา ความหมายอาจจะผิดเพี้ยน และไม่สามารถทราบเหตุการณ์ อดีต หรือปัจจุบัน หรืออนาคต ได้เลย เพราะเป็นประโยคที่ไม่สมบูรณ์
คำกริยา แบ่งออกเป็น 3 ช่อง คือ
1. สหกรรมกริยา (Transitive Verb) คือ คำกริยาที่ต้องมีตัวกรรม ถ้าเกิดไม่มีคำอื่นเข้ามา ความหมายจะไม่สมบูรณ์ เช่น The girl is playing a computer game at home. หมายความว่า เด็กผู้หญิงเล่นเกมคอมพิวเตอร์ที่บ้าน คำว่า “playing” เป็นคำกริยา บอกให้ทราบว่าขณะนี้ กำลังเล่นเกมอยู่ ส่วนคำว่า “game computer” เป็นตัวกรรม หรือตัวทำหน้าที่รองรับคำกริยาให้สมบูรณ์มากขึ้น เพราะถ้าใช้คำว่า Playing อย่างเดียว จะไม่รู้ว่า กำลังเล่นอะไรอยู่
2. อกรรมกริยา (Intransitive Verb) คือ คำกริยาที่ไม่ต้องมีตัวกรรม เพราะความหมายจะสมบูรณ์อยู่แล้ว เช่น The boy runs in the forest. ประโยคไม่ต้องมีตัวกรรม ก็ทำให้ประโยคสมบูรณ์ เพราะคำว่า “run” แปลว่า วิ่ง ความหมายจึงสมบูรณ์ครบถ้วนไม่ต้องมีตัวมาเติมเต็ม ซึ่งเรียกว่า อกรรมกริยา
3. กริยาช่วย (Helping Verb หรือ Auxiliary Verb) คือ กริยาที่มีหน้าที่ช่วยกริยาด้วยกัน และยังทำให้ตัวของตัวเองมีความหมายสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
กริยา 3 ช่อง คือ คำกริยาในภาษาอังกฤษ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ช่อง บ่งบอกถึง เหตุการณ์ ในแต่ละช่วงเวลาได้อีกด้วย
กริยาช่องที่ 1 คือ ปัจจุบัน
กริยาช่องที่ 2 คือ อดีต
กริยาช่องที่ 3 คือคำกริยาที่ใช้ใน perfect tense ทุกชนิด และ passive voice.
ตัวอย่าง กริยา3ช่อง
Base Form (ช่อง 1)
Simple Past Tense (ช่อง 2)
Past Participle (ช่อง 3)
Meaning (ความหมายเทียบเคียง)
awake
awoke
awoken
ตื่น
be
was, were
been
เป็น,อยู่,คือ
bear
bore
born
ทน
beat
beat
beat
ตี
become
became
become
กลายเป็น
begin
began
begun
เริ่ม
bend
bent
bent
หัก, งอ
beset
beset
beset
โอบล้อมรอบด้าน
bet
bet
bet
พนัน
bid
bid/bade
bid/bidden
ประมูล
bind
bound
bound
ผูกติดกัน
bite
bit
bitten
กัด
bleed
bled
bled
เลือดออก
blow
blew
blown
เป่า
break
broke
broken
แตก, หัก
breed
bred
bred
ผสมพันธ์
bring
brought
brought
นำมา
broadcast
broadcast
broadcast
ออกอากาศ
build
built
built
สร้าง
burn
burned/burnt
burned/burnt
เผา
burst
burst
burst
ระเบิดออก
buy
bought
bought
ซื้อ
cast
cast
cast
หล่อ
catch
caught
caught
จับ
oose
chose
chosen
เลือก
cling
clung
clung
พิง
come
came
come
มา
cost
cost
cost
มีราคา
creep
crept
crept
คืบคลาน
cut
cut
cut
ตัด
deal
dealt
dealt
จัดการ
dig
dug
dug
ขุด
dive
dived/dove
dived
กระโดดน้ำ
do
did
done
ทำ
draw
drew
drawn
วาด, ล่อ, ชักดาบ, ถอนเงิน
dream
dreamed/dreamt
dreamed/dreamt
ฝัน
drive
drove
driven
ขับรถ
drink
drank
drunk
ดื่ม
eat
ate
eaten
กิน
fall
fell
fallen
ล้ม
feed
fed
fed
ให้อาหารสัตว์
feel
felt
felt
รู้สึก
fight
fought
fought
ต่อสู้
find
found
found
พบ
fit
fit
fit
พอเหมาะ
flee
fled
fled
หลบหนี
fling
flung
flung
เขวี้ยง
fly
flew
flown
บิน, นั่งเครื่องบิน
forbid
forbade
forbidden
ห้าม
forget
forgot
forgotten
ลืม
forego (forgo)
forewent
foregone
ยอม, ไม่เอา
forgive
forgave
forgiven
ให้อภัย
forsake
forsook
forsaken
สละ, ละทิ้ง
freeze
froze
frozen
หยุด, เป็นน้ำแข็ง
get
got
gotten
ได้
give
gave
given
ให้
go
went
gone
ไป
grind
ground
ground
บด
grow
grew
grown
เจริญงอกงาม
hang
hung
hung
แขวน
hang
hunged
hanged
แขวนคอ
hear
heard
heard
ได้ยิน
hide
hid
hidden
ซ่อน
hit
hit
hit
ตี
hold
held
held
ถือ
hurt
hurt
hurt
ทำร้าย
keep
kept
kept
เก็บรักษา
kneel
knelt
knelt
คุกเข่า
knit
knit
knit
ถัก
know
knew
know
รู้จัก
lay
laid
laid
วางไข่
lead
led
led
นำ
leap
leaped/lept
leaped/lept
กระโดด
learn
learned/learnt
learned/learnt
เรียน
leave
left
left
ออกจาก
lend
lent
lent
ให้ยืม
let
let
let
อนุญาต
lie
lay
lain
นอนลง
light
lighted/lit
lighted
จุดไฟ
lose
lost
lost
ทำหาย
make
made
made
ทำ
mean
meant
meant
หมายถึง
meet
met
met
พบ
misspell
misspelled /misspelt
misspelled/ misspelt
สะกดผิด
mistake
mistook
mistaken
ทำผิด
mow
mowed
mowed/mown
ตัดหญ้า
overcome
overcame
overcome
เอาชนะ
overdo
overdid
overdone
ทำมากเกินไป
overtake
overtook
overtaken
ตามทัน
overthrow
overthrew
overthrown
ปลดจากตำแหน่ง
pay
paid
paid
จ่าย
plead
pled
pled
อ้อนวอน, ขอโทษ
prove
proved
proved/proven
พิสูจน์
put
put
put
วาง
quit
quit
quit
เลิก
read
read
read
อ่าน
rid
rid
rid
ขจัด
ride
rode
ridden
ขี่
ring
rang
rung
กรดกริ่ง
rise
rose
risen
ลุกขึ้น
run
ran
run
วิ่ง
saw
sawed
sawed/sawn
เลื่อย
say
said
said
พูด
see
saw
seen
เห็น
seek
sought
sought
ค้นหา
sell
sold
sold
ขาย
send
sent
sent
ส่ง
set
set
set
จัดวาง
sew
sewed
sewed/sewn
เย็บ
shake
shook
shaken
สั่น
shave
shaved
shaved/shaven
โกน
shear
shore
shorn
ตัดขนแกะ
shed
shed
shed
เท, กันน้ำ, ทิ้ง
shine
shone
shone
เปล่งแสง
shoe
shoed
shoed/shod
ซ่อมรองเท้า
shoot
shot
shot
ยิง
show
showed
showed/shown
แสดง
shrink
shrank
shrunk
หด
shut
shut
shut
ปิด
sing
sang
sung
ร้องเพลง
sink
sank
sunk
จม
sit
sat
sat
นั่ง
sleep
slept
slept
นอน
slay
slew
slain
ฆ่า
slide
slid
slid
เลื่อน
sling
slung
slung
slit
slit
slit
สอดกรีดตามยาว
smite
smote
smitten
ตีอย่างแรง
sow
sowed
sowed/sown
หว่านพืช
speak
spoke
spoken
พูด
speed
sped
sped
เร่งความเร็ว
spend
spent
spent
ใช้จ่าย
spill
spilled/spilt
spilled/spilt
ทำหก
spin
spun
spun
ปั่น
spit
spit/spat
spit
บ้วนน้ำลาย
split
split
split
แยกออกจากกัน
spread
spread
spread
แผ่
spring
sprang/sprung
sprung
กระโดด
stand
stood
stood
ยืน
steal
stole
stolen
ขโมย
stick
stuck
stuck
ติดอยู่กับ
sting
stung
stung
ปล่อยเหล็กไน
stink
stank
stunk
เหม็น
stride
strod
stridden
เดินก้าวยาว ๆ
strike
struck
struck
ตี
string
strung
strung
ขึ้นสาย, ร้อยลูกปัด
strive
strove
striven
ดิ้นรน ต่อสู้
swear
swore
sworn
สาบาน
sweep
swept
swept
กวาด
swell
swelled
swelled/swollen
บวม
swim
swam
swum
ว่ายน้ำ
swing
swung
swung
แกว่ง
take
took
taken
นำไป
teach
taught
taught
สอน
tear
tore
torn
ฉีก
tell
told
told
บอก
think
thought
thought
คิด
thrive
thrived/throve
thrived
เติบโต
throw
threw
thrown
ขว้าง
thrust
thrust
thrust
เสือกเข้าไป
tread
trod
trodden
เดิน
understand
understood
understood
เข้าใจ
uphold
upheld
upheld
ยกไว้
upset
upset
upset
เสียใจ
wake
woke
woken
ตื่น
wear
wore
worn
สวม
weave
weaved/wove
weaved/woven
ทอ
wed
wed
wed
แต่งงาน
weep
wept
wept
ร้องไห้
wind
wound
wound
ไขลาน
win
won
won
ชนะ
withhold
withheld
withheld
เก็บไว้
withstand
withstood
withstood
ทนฟ้าทนฝน
wring
wrung
wrung
บิด
write
wrote
written
เขียน
แหล่งที่มา : http://www.xn--3-twftl2jf7etbq8r.com/